โลกแห่ง “ความเห็นแก่ตัว” โดย นูร์ ฮาบีบ
บทความ In a
Selfness World โดย Nour Habib
แหล่งที่มา www.islamation.com
หมายเหตุ
คัดลอก “คำแปลอัลกรุอาน”
มาจากเวปไซค์ www.alquran-thai.com
และได้มีการแก้ไขข้อความบางส่วน
มันยากที่จะเชื่อว่า ปัจจุบันนี้บรรดาพ่อแม่
ผู้ปกครองมักให้คำแนะนำ ตักเตือนกับลูกๆ วัย 5 – 6 ขวบของเขา
ขณะไปส่งพวกเขาที่โรงเรียน โดยการใช้คำพูดที่แสดงออกถึงความกังวลใจต่อลูกๆ
ในลักษณะที่ว่า “พวกเขาจะต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต
และอย่าให้ใครมาเอาเปรียบได้”
“คำตักเตือน”
ที่แลดูเหมือนว่าเป็นความห่วงใย
แท้จริงแล้วมันมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องแฝงไว้อยู่ในนั้น
และหากเราลองพิจารณาจาก “ลักษณะการตักเตือน” ของบรรดาพ่อแม่ข้างต้น
เราก็จะพบว่า “ไม่มีเลยแม้แต่ คำเดียว
ที่แสดงให้เห็นถึงการปลูกฝังในเรื่องของ “การแบ่งปัน”
มันเป็นเหมือนการแสดงที่ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับครอบครัวในแถบตะวันออกกลาง
ซึ่งมีความขัดแย้งกับ “ประวัติศาสตร์” และ “หลักการศาสนา”ของพวกเขาที่เน้นย้ำในเรื่องของ
“ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่” และ “ความมีน้ำใจ” —
มันกลายเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่คนในสังคมปัจจุบันนั้นถูกล้างสมอง โดยการที่พวกเขาละเลยเรื่องราวของการแบ่งปัน
(เพิ่มเติม ผู้แปล) แต่กลับให้ความสนใจเพียงแค่เรื่องของ “ตัวเอง” และ “คนในครอบครัวของตัวเอง” เท่านั้น
หากเราลองตามไปดูบรรยากาศในห้องเรียนที่โรงเรียนของลูกๆ
เราจะพบว่าการเรียนการสอนภายในห้องนั้นขาดซึ่งการอบรม และการแสดงออกในเรื่องของ “การแบ่งปัน”
ครูอาจารย์ไม่ได้ให้การสนับสนุนหรือส่งเสริมนักเรียนให้รู้จักการแบ่งปันระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกัน
ซึ่งไม่มีแม้แต่การแบ่งปันดินสอสีกับเพื่อนในห้อง
หรือแม้แต่การกล่าวตักเตือนของครูอาจารย์
เมื่อเห็นว่าเด็กบางคนมีพฤติกรรมที่แบ่งพรรคแบ่งพวก –
ภายในห้องเรียนนั้นดูราวกับว่าเด็กๆ นั้นถูกปกครองภายใต้กฎระเบียบที่ว่า “ใครมาก่อนได้ก่อน”
นักจิตวิทยาเด็กท่านหนึ่งในรายการโชว์ของประเทศอียิป
ได้นำเสนอเกี่ยวกับปัญหาสังคมโดยเน้นย้ำในเรื่องของ “ความเห็นแก่ตัว”
ว่าเป็นสาเหตุหลักของปัญหาที่สังคมปัจจุบันกำลังเผชิญอยู่
ซึ่งเห็นได้จากการที่คนในชุมชนส่วนใหญ่ไม่ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันใน
การที่จะทำให้การดำรงชีวิตของพวกเขานั้นดีขึ้น พวกเขาไม่ยอมเสียสละเพื่อกันและกัน
อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของเพื่อนบ้าน
นักจิตวิทยาท่านนั้นได้เสนอความคิดเห็นว่า หากเพียงแค่เรา “มีความคิดที่จะร่วมแบ่งปัน” มันก็จะสามารถช่วยทำให้สังคมมนุษย์นั้นมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตโดยปราศจากเพื่อนมนุษย์
เราไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ได้เพียงลำพัง “การพึ่งพาอาศัยกัน”
ถือเป็นคำจำกัดความที่ชัดเจนเกี่ยวกับคุณสมบัติเฉพาะของมนุษย์แต่ละคน และเมื่อเราลองใคร่ครวญเกี่ยวกับความจำเป็นของการอยู่ร่วมกันกับผู้คน
ท้ายที่สุดแล้ว เราจะพบว่า เรากำลังทำให้การดำเนินชีวิตของเรานั้นง่ายขึ้น
“การไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว”
ไม่ใช่แนวคิดใหม่สำหรับสังคมมุสลิม เมื่อเรามองดูประชาชาติมุสลิมทั่วโลก
เราก็มักจะได้เห็นตัวอย่างของกลุ่มคนที่มีความห่วงใยและมีความเอื้ออาทรต่อพี่น้องของเขา
พวกเขาแบ่งปันสิ่งที่มีให้กันและกัน
อีกทั้งพวกเขายังเอาใจใส่ต่อทุกข์สุขของบรรดาพี่น้องของเขาอีกด้วย
ศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะศัลลัม) กล่าวว่า “ไม่มีใครในหมู่พวกท่านที่มีความศรัทธาอย่างแท้จริง
เว้นเสียแต่ว่า เขาปรารถนาต่อพี่น้องของเขา ดังเช่นที่เขาปรารถนาต่อตัวเขาเอง” (มุสลิม)
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ใน ซูเราะฮฺ อัล อิมรอน
พวกเจ้าจะไม่ได้มาซึ่งคุณค่า (แห่งความศรัทธา) (อันสูงสุด)
จนกว่าพวกเจ้าจะใช้จ่าย (ไปกับการบริจาค) จากสิ่งที่พวกเจ้ารัก 3.92
ถ้อยคำเหล่านี้เป็นบทพิสูจน์ว่า “ความเห็นแก่ตัว”
นั้นไม่เป็นที่ยอมรับใน “อิสลาม”
ถ้อยคำเหล่านี้มิได้ถูกประทานลงมาเพียงเพื่อเป็นการตักเตือนมุสลิมให้รู้จักแบ่งบันสิ่งที่ตัวเองมีให้กับผู้อื่นเท่านั้น
หากแต่ยังสนับสนุนให้มุสลิมรู้จักการ “ให้”
ในสิ่งที่ดีที่สุดจากสิ่งที่พวกเขารักต่อผู้อื่นอีกด้วย
อัลลอฮฺมิได้ทรงสั่งใช้ให้บ่าวของพระองค์ทำการบริจาคในสิ่งที่เป็น “ส่วนเกิน” หรือ “ส่วนที่เหลือ” จากชีวิตของพวกเขา
หากแต่ด้วยพระปรีชาสามารถและพระเมตตาของพระองค์ พระองค์จึงทรงบัญชาให้บรรดาบ่าวของพระองค์นั้นแบ่งปันสิ่งที่พวกเขารักมากที่สุดแก่ผู้อื่น
มีหลายรายงานจากการดำเนินชีวิตของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะศัลลัม) ที่เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่า
ท่านและบรรดาศอฮาบะฮฺได้นำพระบัญชาของอัลลอฮฺมาปฏิบัติกันอย่างจริงจังเพียงใด
พวกท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่ปราศจากซึ่ง “ความเห็นแก่ตัว” โดยสมบูรณ์
มีตัวอย่างที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง
ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากการฮิจรอฮฺ เมื่อนบีมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ
วะศัลลัม) ได้ขอให้ชาวอันศอรฺ (มุสลิมจากมะดีนะฮฺ) รับชาวมูฮาญิรีนท่านหนึ่ง (มุสลิมจากมักกะฮฺที่ย้ายมาอยู่ที่มะดีนะฮฺ)
เป็นพี่น้องของพวกเขา –
มีเรื่องราวดีงามมากมายที่ปรากฏอยู่เพื่อเป็นแบบอย่างแก่เรา
หนึ่งในนั้นคือเรื่องราวของชาวอันศอรฺ ที่พวกเขาได้จัดสรรทรัพย์สินทั้งหมดที่มี
และทำการบริจาคทรัพย์สินจำนวนครึ่งหนึ่งให้กับพี่น้องมูฮาญิรีน
และยังมีเรื่องราวของศอฮาบะฮฺท่านหนึ่งที่เชิญพี่น้องมุสลิมคนหนึ่งไปที่บ้านของเขา
ระหว่างที่เดินทางกลับบ้าน
ศอฮาบะฮฺท่านนั้นได้ถามภรรยาว่านางมีอาหารเพียงพอหรือไม่
ด้วยเพราะว่าครอบครัวของท่านนั้นยากจน นางตอบว่า “อาหารที่เรามีอยู่นั้นไม่เพียงพอ
อีกทั้งอาหารที่มีนั้นก็เพียงพอสำหรับคนเพียงหนึ่งคนเท่านั้น” ท่านจึงบอกกับนางว่า “ไม่เป็นไร” และขอให้นางนั้นเตรียมอาหารค่ำเอาไว้
และจากนั้นให้นำลูกๆ เข้านอนเสีย เพื่อที่ว่าเมื่อแขกมาถึง
เขาจะไม่เห็นว่าเจ้าบ้านนั้นไม่ได้ทานอาหารร่วมกับเขา (ด้วยเพราะความมืดบดบัง)
จากนั้น อัลลอฮฺทรงประทานอายะฮฺเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ลงมา ใน
ซูเราะ อัล ฮัชรฺ
“และบรรดาผู้ที่ได้ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นครมะดีนะฮ.(ชาวอันศอร)และบรรดาผู้ตั้งมั่นในศรัทธาก่อนหน้าการอพยพ
(ชาวมุฮาญิรีน) พวกเขา (ชาวอันศอร) รักใคร่ผู้ที่อพยพมายังพวกเขาและไม่พบความต้องการหรือความอิจฉาอยู่ในทรวงอกของพวกเขาในสิ่งที่ได้ถูกประทานมาให้(กับผู้อพยพ)
อีกทั้งพวกเขาได้ให้สิทธิผู้อื่นก่อนตัวของพวกเขาเอง
ถึงแม้ว่าพวกเขาก็มีความต้องการอยู่มากก็ตาม
และผู้ใดปกป้องการตระหนี่ที่อยู่ในตัวของเขา ชนเหล่านั้นคือผู้ประสบความสำเร็จ” 59.9
ในขณะนั้น ศอฮาบะฮฺท่านนั้นแทบไม่มีอะไรเหลือเลย
อีกทั้งสิ่งที่ท่านมีเหลืออยู่ ท่านก็มอบให้กับพี่น้องไปทั้งหมด
และไม่เหลือสิ่งใดไว้ให้แก่ตัวท่าน ภรรยาของท่าน หรือลูกของท่านเลย ดูสิว่าแม้แต่ “ผู้ที่ยากจนที่สุด
ยังเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน”
เรื่องราวต่างๆ นี้เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ทุกๆ
ครั้งที่ข้าพเจ้า (ผู้เขียน) ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้
ความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อบรรดาศอฮาบะฮฺก็เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
การกระทำของพวกท่านเหล่านั้นออกมาจากหัวใจอย่างแท้จริง – พวกเราบางคนอาจจะกล่าวว่า “ก็พวกท่านเป็นศอฮาบะฮฺนี่นา
พวกท่านเหล่านั้นย่อมดีกว่าคนธรรมดาอย่างเราอยู่แล้ว” อีกทั้งยังอาจจะให้เหตุผลว่า “พวกเราไม่สามารถไปทัดเทียมกับบรรดาศอฮาบะฮฺได้
ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม”
จึงไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า เหตุใด “บรรดาศอฮาบะฮฺจึงมีความโดดเด่นมากกว่าพวกเรา” หากแต่แท้จริงแล้ว
อัลฮัมดุลิลลา ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนที่ดีหลงเหลืออยู่มากพอสมควร
เมื่อ 2 –
3 เดือนที่ผ่านมา ทางช่องดาวเทียมของอียิป มีรายการหนึ่งได้นำเสนอเรื่องราวของ “ชายคนหนึ่งที่กำลังได้รับความเจ็บป่วยด้วยโรคทางสมอง”
และจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายประมาณ 230,000
ดอลล่าสหรัฐ จึงได้มีการขอรับบริจาคผ่านทางรายการ
ซึ่งบรรดาผู้บริจาคนั้นได้ให้การบริจาคในจำนวนที่แตกต่างกันไป บางคนก็บริจาค 100,000 ดอลล่า และบางคนก็บริจาค 50 ดอลล่า
ขณะที่การขอรับบริจาคได้ดำเนินไป ก็ได้มีชายคนหนึ่ง ชื่อ มูฮัมมัด
ชารีฟ โทรเข้ามาในรายการ เพื่อขออภัยที่เขานั้นได้บริจาคเงินเป็นจำนวนที่น้อยมาก
ซึ่งเป็นจำนวนเพียงแค่ 15 อียิปปอนด์ (หรือประมาณ 100 บาทไทย)
ชารีฟได้อธิบายเหตุผลโดยปราศจากความละอายว่า
ครอบครัวของเขานั้นมีเงินเหลืออยู่เพียงแค่ 30 อียิปปอนด์ (210 บาทไทย) ในขณะนั้น
และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำเขาไม่สามารถบริจาคได้มากกว่านี้ – ผู้จัดรายการจึงได้กล่าวคำขอบคุณต่อเขาในการบริจาคครั้งนี้
หลังจากที่ชารีฟได้วางสายไป ก็มีคนโทรเข้ามาในรายการ
และขอทำการบริจาค 500 อียิปปอนด์กับ “ชายที่กำลังป่วย” และได้ทำการบริจาคอีก
100 อียิปปอนด์ต่อชารีฟ และคนที่โทรเข้ามาหลังจากนั้น
ก็บริจาคเงินให้กับผู้ป่วยและชารีฟเช่นเดียวกัน
หลังจากนั้นไม่นานนัก “มูฮัมมัด
ชารีฟ”
ก็ได้กลายเป็นแขกรับเชิญในรายการดังกล่าว เขาได้เล่าเรื่องราวของเขากับพิธีกร
ว่าเขานั้นมาจากครอบครัวที่ยากจน ขณะเดียวกันแม่ของเขาก็กำลังป่วยด้วยโรคหัวใจ
ลุงของเขาเพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นาน อีกทั้งลูกพี่ลูกน้องวัย 15
ปีของเขาก็เพิ่งเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซค์เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้
… วันหนึ่ง
ชารีฟและพ่อของเขาได้ดูรายการทางโทรทัศน์ซึ่งกำลังขอรับบริจาคเพื่อการผ่า
ตัดของชายผู้หนึ่งที่ได้รับความเจ็บป่วยจากโรคทางสมอง
และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเดินเข้าไปปลุกแม่ที่กำลังนอนอยู่ในห้อง ถัดไป
และถามเธอว่า “แม่ครับ
ตอนนี้เรามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ครับ”
เธอบอกเขาว่า “ตอนนี้เรามีเงินอยู่
28 ปอนด์น่ะ ลูก” “แต่เรายังไม่ได้จ่ายค่าไฟเลยนะ” เธอบอกให้เขาทราบเพราะคิดว่าลูกชายคงต้องการเงินเพื่อไปทำอะไรบางอย่าง
ชารีฟจึงได้เล่าเรื่องราวของ “ชายที่ป่วยทางสมอง” และจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด
ให้แม่ของเขาฟัง และถามความเห็นเธอว่า
พวกเขาจะสามารถบริจาคเงินครึ่งหนึ่งจากจำนวนเงินที่มีอยู่ได้หรือไม่
แม่เขาตอบว่า “ได้สิ
ลูก” “มีเพียงแค่คนป่วยเท่านั้นที่เข้าใจถึงความเจ็บปวดของคนป่วยด้วยกัน”
และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว
ขณะที่ชารีฟกำลังออกรายการอยู่นั้น พิธีกรได้ถามเขาว่า เขานั้นมีงานทำหรือไม่
ชารีฟตอบว่า ตัวเขานั้นเคยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ หากแต่ว่าตอนนี้เขาตกงานอยู่
จากนั้นพิธีกรจึงบอกกับเขาว่า
ทางรายการนั้นได้ตัดสินใจที่จะรับเขาเข้าทำงานในตำแหน่ง “ผู้ช่วยผู้กำกับ”
เมื่อชารีฟได้ยินดังนั้น มันทำให้เขาพูดไม่ออก
เขาได้แต่กล่าวคำขอบคุณอย่างมากมายต่อพิธีกร และกล่าวว่า สิ่งที่เขาได้รับนั้นมันมากเกินกว่าที่คนอย่างเขาควรจะได้รับ
“คนอีกหลายๆ
ล้านคนคงจะทำเหมือนอย่างที่ผมได้ทำไป” ชารีฟกล่าว
และนี่เป็นตัวอย่างของ “การไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว”
ซึ่งไม่ใช่เรื่องราวของศอฮาบะฮฺ
หากแต่มันเป็นเรื่องจริงของชายคนหนึ่งที่เกิดขึ้นในปี 2551
ชายผู้นั้นได้แบ่งปันสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขามี
และอัลลอฮฺทรงประทานแก่เขาซึ่งรางวัลที่มากกว่า 10 เท่า
ซึ่งมากกว่าสิ่งที่เขาได้บริจาคให้กับชายผู้ที่ป่วยทางสมองท่านนั้น —
พระองค์ทรงประทานเงินให้แก่เขา อีกทั้งยังทรงประทานงานให้แก่เขา
การให้ความช่วยเหลือผู้อื่นและการให้ความใส่ใจต่อผู้อื่นนั้น
เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ อินชาอัลลอฮฺ
ขอให้พวกเราช่วยทำให้อุมมะฮฺนี้กลับคืนสู่สถานะที่พวกเขาควรจะอยู่ (เพื่ออัลลอฮฺ
ซุบฮานะฮู วะตะอาลา)
เอื้อเฟื้อโดย Al
Jumuah Magazine
ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีงามต่อ ฟาติมะฮฺ คาน